|
สอนขับรถ ขอนแก่นจีที มีเทคนิคในการขับรถให้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะคนที่ไม่มีพื้นฐานการขับรถยนต์มาก่อนเลย การันตี!!
|
สอนขับรถ ขอนแก่น GT DRIVING หวังนะครับว่า ความสามารถที่คุณใ่ช้สอบใบขับขี่ จะช่วยให้การขับรถของคุณ เป็นไปอย่างถูกต้อง...รวมถึงกลายเป็นคนขับรถที่มีความสามารถ ...และปลอดภัยในการขับรถไปตลอดชีวิต
การแจ้งเปลี่ยนเครื่องยนต์
รับสอนขับรถ ขอนแก่น
หลักฐานที่ใช้
- ใบคู่มือจดทะเบียนรถ (ถ้ามี)
- สำเนาบัตรประชาชน ถ้ากรณีเป็นนิติบุคคลใช้หนังสือรับรองการจดทะเบียนนิติบุคคล และสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนของกรรมการผู้มีอำนาจลงนาม
ใบแจ้งจำหน่ายเครื่องยนต์ ใบเสร็จรับเงิน และใบกำกับภาษี
แบบคำขอแก้ไขเพิ่มเติมรายการในทะเบียนรถ (เปลี่ยนเครื่องยนต์ ซึ่งกรอกรายการและลงลายมือชื่อผู้ยื่นคำขอเรียบร้อยแล้ว)
หนังสือมอบอำนาจพร้อมสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนผู้รับมอบ กรณีมิได้มาดำเนินการด้วยตัวเอง
สถานที่ติดต่อ
สำนักงานขนส่งทุกแห่งทั่วประเทศ (ยกเว้น รถแท็กซี่ รถบริการ รถสี่ล้อเล็ก และรถสามล้อรรับจ้าง)
-ขั้นตอนการดำเนินการ
- นำรถเข้ารับการตรวจสภาพ ที่งานตรวจสภาพรถยนต์
- ยื่นเรื่องขอเปลี่ยนเครื่องยนต์ พร้อมชำระค่าธรรมเนียมที่งานทะเบียนรถ
- รับใบคู่มือจดทะเบียนรถคืน (ถ้ามี)
ระยะเวลาดำเนินการ
ไม่เกิน 2 ชั่วโมง
สอนขับรถ ขอนแก่น GT Driving Khon Kaen
- ใบคู่มือจดทะเบียนรถ (ถ้ามี)
- สำเนาบัตรประชาชน ถ้ากรณีเป็นนิติบุคคลใช้หนังสือรับรองการจดทะเบียนนิติบุคคล และสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนของกรรมการผู้มีอำนาจลงนาม
ใบแจ้งจำหน่ายเครื่องยนต์ ใบเสร็จรับเงิน และใบกำกับภาษี
แบบคำขอแก้ไขเพิ่มเติมรายการในทะเบียนรถ (เปลี่ยนเครื่องยนต์ ซึ่งกรอกรายการและลงลายมือชื่อผู้ยื่นคำขอเรียบร้อยแล้ว)
หนังสือมอบอำนาจพร้อมสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนผู้รับมอบ กรณีมิได้มาดำเนินการด้วยตัวเอง
สถานที่ติดต่อ
สำนักงานขนส่งทุกแห่งทั่วประเทศ (ยกเว้น รถแท็กซี่ รถบริการ รถสี่ล้อเล็ก และรถสามล้อรรับจ้าง)
-ขั้นตอนการดำเนินการ
- นำรถเข้ารับการตรวจสภาพ ที่งานตรวจสภาพรถยนต์
- ยื่นเรื่องขอเปลี่ยนเครื่องยนต์ พร้อมชำระค่าธรรมเนียมที่งานทะเบียนรถ
- รับใบคู่มือจดทะเบียนรถคืน (ถ้ามี)
ระยะเวลาดำเนินการ
ไม่เกิน 2 ชั่วโมง
สอนขับรถ ขอนแก่น GT Driving Khon Kaen
ส่วนประกอบของรถยนต์
ส่วนประกอบของรถยนต์ ( Automobile part ) ประกอบด้วยระบบต่าง ๆ หลายระบบหรือหลายส่วนดังต่อไปนี้
1. ตัวถัง (The body )
2. เครื่องยนต์ (The engine )
3. ระบบส่งกำลังหรือระบบขับเคลื่อน (The power train system )
4. ระบบเบรก (Brake system )
5. ระบบบังคับเลี้ยว (Steering system )
6. ระบบรองรับน้ำหนัก (Suspension system )
7. ระบบไฟฟ้าในรถยนต์ (Electrical system )
ส่วนประกอบทั้ง 7 ส่วน มีหลักการทำงานที่สัมพันธ์กันอย่างต่อเนื่องเพื่อให้รถวิ่งได้ คือ
1. ตัวถัง (The body )
ตัวถังรถยนต์โดยทั่วไปจะเป็นแผ่นโลหะ ปั๊มอัดขึ้นเป็นรูปทรงมาประกอบเป็นตัวถังรถ ได้แก่ ส่วนที่เป็นห้องโดยสาร ห้องเครื่องยนต์ ส่วนบรรจุเก็บของ หลังคา ประตู ฯลฯ ตัวถังถูกออกแบบคุ้มกัน ให้เกิดความปลอดภัยและความสะดวกสบายแก่ผู้โดยสาร ป้องกันความหนาวเย็น ความร้อน ฝน นอกจากนั้น ตัวถังยังถูกออกแบบให้ดึงดูดใจผู้ซื้อด้วยรูปทรงที่ทันสมัยและสีสันที่สวยงาม เพื่อช่วยลดแรงต้านของลมในขณะที่วิ่งด้วยความเร็วสูง ส่วนขนาดของตัวถังขึ้นอยู่กับประโยชน์ จำนวนของผู้โดยสาร และการใช้งาน
จึงสรุปได้ว่าตัวถังรถยนต์ถูกออกแบบเพื่อให้เป็นที่ติดตั้งอุปกรณ์ในระบบต่าง ๆ ของรถยนต์ นอกจากนี้ยังเน้นห้องโดยสารที่ให้ความปลอดภัยกับผู้โดยสาร กันแดด เสียง ลม ฝุ่น แก๊สพิษบนท้องถนน และรูปแบบสีสันที่พัฒนาโดยไม่หยุดยั้ง ด้วยเหตุนี้นักศึกษาจำเป็นต้องรู้จักกับตัวถังเป็นประการแรก
2. เครื่องยนต์ (The engine )
เครื่องยนต์เป็นเครื่องต้นกำลังหรือให้กำเนิดกำลัง โดยทำหน้าที่เปลี่ยนพลังงานความร้อนจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงเป็นพลังงานกล
เครื่องยนต์ที่ใช้กับรถนั่นขนาดเล็กมากที่สุด คือเครื่องยนต์ก๊าซโซลีนสำหรับเครื่องยนต์ที่ใช้ในรถโดยสาร รถบรรทุก รถเครื่องจักรกลหนักและการเกษตรใช้เครื่องยนต์ดีเซล
เครื่องยนต์ทั้งสองประเภทมีส่วนประกอบของระบบที่สำคัญดังนี้ คือ ระบบเชื้อเพลิง ( Fuel system ) ระบบไอเสีย ( Exhaust system ) ระบบระบายความร้อน ( Cooling system ) และระบบหล่อลื่น ( Lubrication system ) แต่ในเครื่องยนต์ก๊าซโซลีนยังมีอีกระบบหนึ่งคือ ระบบจุดระเบิด ( Ignition system ) ทำหน้าที่ผลิตกระแสไฟแรงสูงจุดประกายที่หัวเทียน เพื่อเผาไหม้ไอดีที่เป็นส่วนผสมของน้ำมันกับอากาศ
กำลังของเครื่องยนต์ที่ผลิตได้จะถูกส่งไปยังระบบส่งกำลัง เพื่อขับเคลื่อนรถยนต์หรือทำให้รถวิ่งได้
3. ระบบขับเคลื่อนหรือระบบส่งกำลัง (The power train or drive system )
ระบบขับเคลื่อนหรือระบบส่งกำลัง ทำหน้าที่ต่อกำลังและตัดกำลังขับจากเครื่องยนต์เพื่อขับเคลื่อนรถไปข้างหน้าหรือถอยหลัง
นอกจากนี้ระบบส่งกำลังยังทำหน้าที่ทดแรงให้เกิดการได้เปรียบเชิงกลเพื่อให้รถยนต์สามารถขับเคลื่อนได้ในหลายสภาพการทำงาน เช่น น้ำหนัก บรรทุก ความเร็ว และสภาพถนน ซึ่งอุปกรณ์ในระบบส่งกำลังที่ทำให้รถวิ่งได้ คือเปลี่ยนความเร็วและทิศทางได้นั้น ประกอบด้วย ชุดคลัตช์ ( Clutch ) เกียร์ ( Gear ) เพลากลาง ( Popular shaft ) สำหรับรถเครื่องอยู่หน้าขับล้อหลัง ชุดเฟืองทด
( Differential ) เพลาขับ ( Drive axle ) และล้อ ( Wheel )
4. ระบบเบรก (Brake system )
ในการกระทำสิ่งใด ๆ ของมนุษย์นั้น มีการยึดถือเป็นสากลว่า ต้องมีความปลอดภัยเป็นประการสำคัญประการแรก ( Safety first ) รถยนต์ที่วิ่งอยู่บนท้องถนนก็เช่นกัน จะต้องมีการชะลอหรือหยุดในจังหวะเวลา ระยะที่ผู้ขับต้องการ หากมีการผิดพลาดจากการหยุดของผู้ขับจะเป็นที่มาของการเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนได้ ด้วยเหตุผลดังกล่าวผู้เรียนต้องศึกษาถึงระบบเบรก
ระบบเบรกหรือห้ามล้อ ทำหน้าที่ชะลอหรือหยุดรถตามความต้องการของผู้ขับอย่างมีประสิทธิภาพและให้ความมั่นใจ ประสิทธิภาพของระบบเบรกของรถที่จะวิ่งบนท้องถนนได้ต้องมีความแน่นอน 70 เปอร์เซ็นต์ขึ้นไปด้วยเครื่องทดสอบเบรก เพราะรถยนต์ทำหน้าที่ความเร็วและมีน้ำหนักบรรทุก หากมีปัญหาเรื่องการหยุดรถสิ่งที่ตามมาคือการสูญเสียชีวิตและทรัพย์สิน ซึ่งเป็นอุบัติภัยที่ทำลายชีวิตมนุษย์
ระบบเบรกได้พัฒนามาจนถึงปัจจุบันเป็นระบบเบรกไฮดรอลิก ( Hydraulic brake ) โดยใช้กำลังจากเท้าเหยียบแม่ปั๊มดันน้ำมันไปยังกระบอกเบรกที่ล้อ เพื่อผลักดันฝักเบรกและผ้าเบรกสัมผัสกับกระทะล้อของเบรกแบบดรัมเบรก ( Drum brake )
หรือดันลูกสูบเบรกที่ก้ามปูเบรก ( Caliper ) ไปบีบจานเบรก ในระบบเบรกแบบดิสก์เบรก ( Disc brake ) ซึ่งทำงานคล้ายคีมหนีบ และปัจจุบันระบบเบรกได้พัฒนาก้าวไกลมาใช้ระบบ A.B.S. ( Anti-lock Brake-System ) คือระบบป้องกันการจับตายของล้อในขณะเบรก โดยพัฒนามาจากระบบเบรกของเครื่องบิน ระบบนี้ป้องกันล้อใดล้อหนึ่งจับตาย เพราะจะเป็นเหตุให้รถเสียการทรงตัว
ส่วนประกอบของรถยนต์ ( Automobile part ) ประกอบด้วยระบบต่าง ๆ หลายระบบหรือหลายส่วนดังต่อไปนี้
1. ตัวถัง (The body )
2. เครื่องยนต์ (The engine )
3. ระบบส่งกำลังหรือระบบขับเคลื่อน (The power train system )
4. ระบบเบรก (Brake system )
5. ระบบบังคับเลี้ยว (Steering system )
6. ระบบรองรับน้ำหนัก (Suspension system )
7. ระบบไฟฟ้าในรถยนต์ (Electrical system )
ส่วนประกอบทั้ง 7 ส่วน มีหลักการทำงานที่สัมพันธ์กันอย่างต่อเนื่องเพื่อให้รถวิ่งได้ คือ
1. ตัวถัง (The body )
ตัวถังรถยนต์โดยทั่วไปจะเป็นแผ่นโลหะ ปั๊มอัดขึ้นเป็นรูปทรงมาประกอบเป็นตัวถังรถ ได้แก่ ส่วนที่เป็นห้องโดยสาร ห้องเครื่องยนต์ ส่วนบรรจุเก็บของ หลังคา ประตู ฯลฯ ตัวถังถูกออกแบบคุ้มกัน ให้เกิดความปลอดภัยและความสะดวกสบายแก่ผู้โดยสาร ป้องกันความหนาวเย็น ความร้อน ฝน นอกจากนั้น ตัวถังยังถูกออกแบบให้ดึงดูดใจผู้ซื้อด้วยรูปทรงที่ทันสมัยและสีสันที่สวยงาม เพื่อช่วยลดแรงต้านของลมในขณะที่วิ่งด้วยความเร็วสูง ส่วนขนาดของตัวถังขึ้นอยู่กับประโยชน์ จำนวนของผู้โดยสาร และการใช้งาน
จึงสรุปได้ว่าตัวถังรถยนต์ถูกออกแบบเพื่อให้เป็นที่ติดตั้งอุปกรณ์ในระบบต่าง ๆ ของรถยนต์ นอกจากนี้ยังเน้นห้องโดยสารที่ให้ความปลอดภัยกับผู้โดยสาร กันแดด เสียง ลม ฝุ่น แก๊สพิษบนท้องถนน และรูปแบบสีสันที่พัฒนาโดยไม่หยุดยั้ง ด้วยเหตุนี้นักศึกษาจำเป็นต้องรู้จักกับตัวถังเป็นประการแรก
2. เครื่องยนต์ (The engine )
เครื่องยนต์เป็นเครื่องต้นกำลังหรือให้กำเนิดกำลัง โดยทำหน้าที่เปลี่ยนพลังงานความร้อนจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงเป็นพลังงานกล
เครื่องยนต์ที่ใช้กับรถนั่นขนาดเล็กมากที่สุด คือเครื่องยนต์ก๊าซโซลีนสำหรับเครื่องยนต์ที่ใช้ในรถโดยสาร รถบรรทุก รถเครื่องจักรกลหนักและการเกษตรใช้เครื่องยนต์ดีเซล
เครื่องยนต์ทั้งสองประเภทมีส่วนประกอบของระบบที่สำคัญดังนี้ คือ ระบบเชื้อเพลิง ( Fuel system ) ระบบไอเสีย ( Exhaust system ) ระบบระบายความร้อน ( Cooling system ) และระบบหล่อลื่น ( Lubrication system ) แต่ในเครื่องยนต์ก๊าซโซลีนยังมีอีกระบบหนึ่งคือ ระบบจุดระเบิด ( Ignition system ) ทำหน้าที่ผลิตกระแสไฟแรงสูงจุดประกายที่หัวเทียน เพื่อเผาไหม้ไอดีที่เป็นส่วนผสมของน้ำมันกับอากาศ
กำลังของเครื่องยนต์ที่ผลิตได้จะถูกส่งไปยังระบบส่งกำลัง เพื่อขับเคลื่อนรถยนต์หรือทำให้รถวิ่งได้
3. ระบบขับเคลื่อนหรือระบบส่งกำลัง (The power train or drive system )
ระบบขับเคลื่อนหรือระบบส่งกำลัง ทำหน้าที่ต่อกำลังและตัดกำลังขับจากเครื่องยนต์เพื่อขับเคลื่อนรถไปข้างหน้าหรือถอยหลัง
นอกจากนี้ระบบส่งกำลังยังทำหน้าที่ทดแรงให้เกิดการได้เปรียบเชิงกลเพื่อให้รถยนต์สามารถขับเคลื่อนได้ในหลายสภาพการทำงาน เช่น น้ำหนัก บรรทุก ความเร็ว และสภาพถนน ซึ่งอุปกรณ์ในระบบส่งกำลังที่ทำให้รถวิ่งได้ คือเปลี่ยนความเร็วและทิศทางได้นั้น ประกอบด้วย ชุดคลัตช์ ( Clutch ) เกียร์ ( Gear ) เพลากลาง ( Popular shaft ) สำหรับรถเครื่องอยู่หน้าขับล้อหลัง ชุดเฟืองทด
( Differential ) เพลาขับ ( Drive axle ) และล้อ ( Wheel )
4. ระบบเบรก (Brake system )
ในการกระทำสิ่งใด ๆ ของมนุษย์นั้น มีการยึดถือเป็นสากลว่า ต้องมีความปลอดภัยเป็นประการสำคัญประการแรก ( Safety first ) รถยนต์ที่วิ่งอยู่บนท้องถนนก็เช่นกัน จะต้องมีการชะลอหรือหยุดในจังหวะเวลา ระยะที่ผู้ขับต้องการ หากมีการผิดพลาดจากการหยุดของผู้ขับจะเป็นที่มาของการเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนได้ ด้วยเหตุผลดังกล่าวผู้เรียนต้องศึกษาถึงระบบเบรก
ระบบเบรกหรือห้ามล้อ ทำหน้าที่ชะลอหรือหยุดรถตามความต้องการของผู้ขับอย่างมีประสิทธิภาพและให้ความมั่นใจ ประสิทธิภาพของระบบเบรกของรถที่จะวิ่งบนท้องถนนได้ต้องมีความแน่นอน 70 เปอร์เซ็นต์ขึ้นไปด้วยเครื่องทดสอบเบรก เพราะรถยนต์ทำหน้าที่ความเร็วและมีน้ำหนักบรรทุก หากมีปัญหาเรื่องการหยุดรถสิ่งที่ตามมาคือการสูญเสียชีวิตและทรัพย์สิน ซึ่งเป็นอุบัติภัยที่ทำลายชีวิตมนุษย์
ระบบเบรกได้พัฒนามาจนถึงปัจจุบันเป็นระบบเบรกไฮดรอลิก ( Hydraulic brake ) โดยใช้กำลังจากเท้าเหยียบแม่ปั๊มดันน้ำมันไปยังกระบอกเบรกที่ล้อ เพื่อผลักดันฝักเบรกและผ้าเบรกสัมผัสกับกระทะล้อของเบรกแบบดรัมเบรก ( Drum brake )
หรือดันลูกสูบเบรกที่ก้ามปูเบรก ( Caliper ) ไปบีบจานเบรก ในระบบเบรกแบบดิสก์เบรก ( Disc brake ) ซึ่งทำงานคล้ายคีมหนีบ และปัจจุบันระบบเบรกได้พัฒนาก้าวไกลมาใช้ระบบ A.B.S. ( Anti-lock Brake-System ) คือระบบป้องกันการจับตายของล้อในขณะเบรก โดยพัฒนามาจากระบบเบรกของเครื่องบิน ระบบนี้ป้องกันล้อใดล้อหนึ่งจับตาย เพราะจะเป็นเหตุให้รถเสียการทรงตัว
การแจ้งเปลี่ยนชนิดเชื้อเพลิง
หัดขับรถ ขอนแก่น
การแจ้งเปลี่ยนแปลงชนิดเชื้อเพลิง (ใช้แก๊สเป็นเชื้อเพลิง)
หลักฐานที่ใช้
ใบคู่มือจดทะเบียนรถ (ถ้ามี)
สำเนาบัตรประชาชน ถ้ากรณีเป็นนิติบุคคลใช้หนังสือรับรองการจดทะเบียนนิติบุคคล และสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนของกรรมการผู้มีอำนาจลงนาม
หนังสือรับรองการติดดตั้งส่วนควบ และเครื่องอุปกรณ์ของรถที่ใช้ก๊าซธรรมชาติอัด และหนังสือรับรองตรวจ และทดสอบส่วนควบและเครื่องอุปกรณ์ของรถที่ใช้ก๊าซธรรมชาติอัดเป็นเชื้อเพลิงตามกฎหมายว่าด้วยรถยนต์
แบบคำขอแก้ไขเพิ่มเติมรายการในทะเบียนรถ (เปลี่ยนชนิดเชื้อเพลิงซึ่งกรอกรายการ และลงลายมือชื่อผู้ยื่นคำขอเรียบร้อยแล้ว)
หนังสือมอบอำนาจพร้อมสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนผู้รับมอบกรณีมิได้มาดำเนินการด้วยตัวเอง
สถานที่ติดต่อ
สำนักงานขนส่งทุกแห่งทั่วประเทศ (ยกเว้น รถแท็กซี่ รถบริการ รถสี่ล้อเล็ก และรถสามล้อรรับจ้าง ยื่นคำขอที่สำนักงานขนส่งกรุงเทพมหานคร)
ขั้นตอนการดำเนินงาน
นำรถเข้ารับการตรวจสภาพ ที่งานตรวจสภาพรถยนต์
ยื่นเรื่องขอเปลี่ยนชนิดเชื้อเพลิง พร้อมชำระค่าธรรมเนียมที่งานทะเบียนรถ
รับใบคู่มือจดทะเบียนรถคืน (ถ้ามี)
ระยะเวลาดำเนินการ
ไม่เกิน 2 ชั่วโมง
หมายเหตุ
การแจ้งเปลี่ยนชนิดเชื้อเพลิงต้องนำรถเข้ารับการตรวจสภาพภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ออกใบรับรองการตรวจและทดสอบ (หากไม่ดำเนินการภายในกำหนดต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 1,000 บาท)
สอนขับรถ ขอนแก่น GT Driving Kkn
หลักฐานที่ใช้
ใบคู่มือจดทะเบียนรถ (ถ้ามี)
สำเนาบัตรประชาชน ถ้ากรณีเป็นนิติบุคคลใช้หนังสือรับรองการจดทะเบียนนิติบุคคล และสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนของกรรมการผู้มีอำนาจลงนาม
หนังสือรับรองการติดดตั้งส่วนควบ และเครื่องอุปกรณ์ของรถที่ใช้ก๊าซธรรมชาติอัด และหนังสือรับรองตรวจ และทดสอบส่วนควบและเครื่องอุปกรณ์ของรถที่ใช้ก๊าซธรรมชาติอัดเป็นเชื้อเพลิงตามกฎหมายว่าด้วยรถยนต์
แบบคำขอแก้ไขเพิ่มเติมรายการในทะเบียนรถ (เปลี่ยนชนิดเชื้อเพลิงซึ่งกรอกรายการ และลงลายมือชื่อผู้ยื่นคำขอเรียบร้อยแล้ว)
หนังสือมอบอำนาจพร้อมสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนผู้รับมอบกรณีมิได้มาดำเนินการด้วยตัวเอง
สถานที่ติดต่อ
สำนักงานขนส่งทุกแห่งทั่วประเทศ (ยกเว้น รถแท็กซี่ รถบริการ รถสี่ล้อเล็ก และรถสามล้อรรับจ้าง ยื่นคำขอที่สำนักงานขนส่งกรุงเทพมหานคร)
ขั้นตอนการดำเนินงาน
นำรถเข้ารับการตรวจสภาพ ที่งานตรวจสภาพรถยนต์
ยื่นเรื่องขอเปลี่ยนชนิดเชื้อเพลิง พร้อมชำระค่าธรรมเนียมที่งานทะเบียนรถ
รับใบคู่มือจดทะเบียนรถคืน (ถ้ามี)
ระยะเวลาดำเนินการ
ไม่เกิน 2 ชั่วโมง
หมายเหตุ
การแจ้งเปลี่ยนชนิดเชื้อเพลิงต้องนำรถเข้ารับการตรวจสภาพภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ออกใบรับรองการตรวจและทดสอบ (หากไม่ดำเนินการภายในกำหนดต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 1,000 บาท)
สอนขับรถ ขอนแก่น GT Driving Kkn
ความสำคัญของมาตรวัด
ในเรื่องนี้ สอนขับรถ ขอนแก่น GT จะพูดถึงมาตรวัดหรือมิเตอร์ เป็นอุปกรณ์ที่ใช้สำหรับแสดงผลการทำงาน ของระบบต่างๆ ในรถยนต์ให้ผู้ขับรถได้รับทราบว่าเป็นอย่างไร หรือมีการทำงานผิดปกติหรือไม่
ในการใช้รถยนต์ผู้ขับรถควรรู้ว่าในสภาวะการทำงานปกติของรถยนต์ การแสดงผลของมาตรวัด แต่ละตัวเป็นอย่างไร จึงจะทำให้ผู้ขับรถทราบถึงความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับรถยนต์ ไม่เช่นนั้นรถยนต์ของท่านอาจเกิดการชำรุดเสียหายมากกว่าที่ควรจะเป็น
มาตรวัดในรถยนต์โดยทั่วไปจะมีอย่างน้อย 4 ตัว คือ มาตรวัดความเร็วรถยนต์ มาตรวัดความเร็วรอบเครื่องยนต์ มาตรวัดอุณหภูมิ น้ำหล่อเย็น และมาตรวัดปริมาณน้ำมันเชื่อเพลิง
มาตรวัดความเร็วรถยนต์
สอนขับรถ ขอนแก่น GT แนะนำอย่างนี้ครับ ผู้ใช้รถจำนวนมากมักใช้ประโยชน์ของมาตรวัดความเร็วรถยนต์ เพียงแค่เอาไว้ดูค่าความเร็ว และระยะทางที่รถวิ่งเท่านั้น จริงๆ แล้วมาตรวัดความเร็วรถยนต์ สามารถนำไปใช้ประโยชน์ในการวินิจฉัยความผิดปกติของระบบส่งกำลังได้ โดยการดูความสัมพันธ์ของความเร็วรถกับความเร็วรอบของเครื่องยนต์ว่าเป็นปกติหรือไม่
ตัวอย่างที่ สอนขับรถ ขอนแก่น GT แนะนำคือ เมื่อเร่งเครื่องยนต์ให้มีความเร็วรอบสูงขึ้น ตามปกติไม่ว่ารถจะอยู่ตำแหน่งเกียร์อะไร ความเร็วของรถจะเพิ่มขึ้นเป็นสัดส่วนที่สม่ำเสมอ เมื่อใดก็ตามที่ความเร็วรอบของเครื่องยนต์เพิ่มขึ้นแต่ความเร็วของรถไม่เพิ่มขึ้นตาม ก็แสดงว่า มีการลื่นที่แผ่นคลัตช์สำหรับตัดต่อกำลังขับจากเครื่องยนต์มายังชุดเกียร์ทดรอบ อาการที่เกิดขึ้นดังกล่าวจะเป็นการแสดงว่า แผ่นคลัตช์หมดอายุการใช้งานแล้วต้องเปลี่ยนใหม่
มาตรวัดความเร็วรอบเครื่องยนต์
มาตรวัดความเร็วรอบเครื่องยนต์เป็นอุปกรณ์ที่มีความสำคัญต่อผู้ใช้รถค่อนข้างมาก เพราะจะทำให้ทราบว่า ในสภาวะใดเครื่องยนต์ควรทำงานที่ความเร็วรอบเท่าไร และมีความสัมพันธ์กับความเร็วของรถหรือไม่ ตัวอย่างเช่นขณะเครื่องยนต์เดินเบาที่อุณหภูมิต่ำ เครื่องปรับอากาศหยุทำงาน ความเร็วรอบเดินเบาสำหรับเครื่องยนต์ 4 สูบ จะสูงกว่า 800/ นาที บางครั้งอาจสูงมากกว่า 1500 รอบ/นาที ถ้าอุณหภูมิของเครื่องยนต์ต่ำมาก แต่หลังจากเครื่องยนต์มีอุณหภูมิสูงขึ้น ความเร็วรอบเดินเบาจะค่อยๆ ลดต่ำลงมา
และเมื่อเครื่องยนต์มีอุณหภูมิสูงถึงอุณหภูมิการทำงานปกติ ค่าความเร็วรอบเดินเบาจะลดลงมาอยู่ที่ประมาณ 750-850 รอบ/นาที หากเครื่องยนต์มีความเร็วรอบเดินเบาที่ต่ำหรือสูงกว่านี้ เช่นมีความเร็วรอบ 600-700 รอบ/นาที หรือสูงกว่า 850 รอบ/นาที ก็แสดงว่า เครื่องยนต์มีการทำงานผิดปกติ ต้องนำไปตรวจเช็กหาข้อขัดข้อง
อุณหภูมิการทำงานปกติของเครื่องยนต์ น้ำหล่อเย็นจะมีอุณหภูมิประมาณ 80-90 องศา เข็มวัดอุณหภูมิจะชี้ประมาณตรงกลางระหว่าตัว C และ ตัว H
มาตรวัดอุณหภูมิน้ำหล่อเย็นเครื่องยนต์
มาตรวัดอุณหภูมิน้ำหล่อเย็นเป็นมาตรวัดที่มีประโยชน์สำหรับผู้ใช้รถเป็นอย่างมาก สอนขับรถ ขอนแก่น GT แนะนำอย่างนี้ครับ เนื่องจากมาตรวัดอุณหภูมิน้ำหล่อเย็นจะบอกถึงอุณหภูมิของเครื่องยนต์ว่าเป็นอย่างไร หากเครื่องยนต์มีอุณหภูมิสูงเกินไปจะส่งผลให้ชิ้นส่วนต่างๆ เกิดการโก่งงอ หรือหลอมละลาย ทำให้เครื่องยนต์ชำรุดเสียหายมาก เช่น ลูกสูบติด ฝาสูบโก่ง เซ็นเซอร์ต่างๆ ของเครื่องยนต์ชำรุดเป็นต้น ซึ่งจะต้องเสียค่าใช้จ่ายในการบำรุงมาก
อีกเรื่องนึ่งที่ สอนขับรถ ขอนแก่น GT แนะนำคือ มาตรวัดอุณหภูมิน้ำหล่อเย็นที่ใช้ในรถยนต์ส่วนมากจะเป็นแบบเข็มวัด แต่มีรถยนต์บางรุ่นที่ใช้หลอดไฟแสดงอุณหภูมิสูงและต่ำ ตามปกติขณะที่เครื่องยนต์เย็น เข็มของมาตรวัดจะชี้ที่ตัว C และเมื่อเครื่องยนต์ทำงาน อุณหภูมิของน้ำหล่อเย็นจะสูงขึ้น เข็มวัดก็จะค่อยๆขยับขึ้นมาทางตัว H จนถึงประมาณ 80-90 องศา อุณหภูมิของน้ำหล่อเย็นจะถูกควบคุมไว้ไม่ให้สูงกว่านี้ ด้วยพัดลมระบายความร้อนที่หม้อน้ำ แต่ถ้ารถยนต์มีการวิ่งจะมีลมผ่านหม้อน้ำมากขึ้นส่งผลให้อุณหภูมิของน้ำหล่อเย็นลดต่ำลง ดังนั้นจะเป็นได้ว่า เมื่อเราขับรถออกไปนอกเมืองที่การจราจรไม่ติดขัด เข็มวัดอุณหภูมิจะชีไม่ถึงตรงกลางระหว่างตัว C และตัว H ซึ่งถือว่าเป็นปกติไม่มีปัญหาอะไร
สิ่งที่ สอนขับรถ ขอนแก่น GT แนะนำอีกอย่างคือ เมื่อใดก็ตามที่เข้มวัดชี้เข้าใกล้ตัว H ก็แสดงว่า เครื่องยนต์ร้นจัดซึ่งอาจเกิดจากสาเหตุของระบบระบายความร้อนขัดข้อง เช่น ท่อน้ำรัว ระดับน้ำในหม้อน้ำต่ำ มีตะกรันภายในหม้อน้ำ ปั๊มน้ำรั่ว พัดลมระบายความร้อนชำรุด หรือหมุนช้าลง เป็นต้น ผู้ขับรถจะต้องดับเครื่องยนต์ทันที มิฉะนั้นเครื่องยนต์อาจได้รับความเสียหายมาก
ในเรื่องนี้ สอนขับรถ ขอนแก่น GT จะพูดถึงมาตรวัดหรือมิเตอร์ เป็นอุปกรณ์ที่ใช้สำหรับแสดงผลการทำงาน ของระบบต่างๆ ในรถยนต์ให้ผู้ขับรถได้รับทราบว่าเป็นอย่างไร หรือมีการทำงานผิดปกติหรือไม่
ในการใช้รถยนต์ผู้ขับรถควรรู้ว่าในสภาวะการทำงานปกติของรถยนต์ การแสดงผลของมาตรวัด แต่ละตัวเป็นอย่างไร จึงจะทำให้ผู้ขับรถทราบถึงความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับรถยนต์ ไม่เช่นนั้นรถยนต์ของท่านอาจเกิดการชำรุดเสียหายมากกว่าที่ควรจะเป็น
มาตรวัดในรถยนต์โดยทั่วไปจะมีอย่างน้อย 4 ตัว คือ มาตรวัดความเร็วรถยนต์ มาตรวัดความเร็วรอบเครื่องยนต์ มาตรวัดอุณหภูมิ น้ำหล่อเย็น และมาตรวัดปริมาณน้ำมันเชื่อเพลิง
มาตรวัดความเร็วรถยนต์
สอนขับรถ ขอนแก่น GT แนะนำอย่างนี้ครับ ผู้ใช้รถจำนวนมากมักใช้ประโยชน์ของมาตรวัดความเร็วรถยนต์ เพียงแค่เอาไว้ดูค่าความเร็ว และระยะทางที่รถวิ่งเท่านั้น จริงๆ แล้วมาตรวัดความเร็วรถยนต์ สามารถนำไปใช้ประโยชน์ในการวินิจฉัยความผิดปกติของระบบส่งกำลังได้ โดยการดูความสัมพันธ์ของความเร็วรถกับความเร็วรอบของเครื่องยนต์ว่าเป็นปกติหรือไม่
ตัวอย่างที่ สอนขับรถ ขอนแก่น GT แนะนำคือ เมื่อเร่งเครื่องยนต์ให้มีความเร็วรอบสูงขึ้น ตามปกติไม่ว่ารถจะอยู่ตำแหน่งเกียร์อะไร ความเร็วของรถจะเพิ่มขึ้นเป็นสัดส่วนที่สม่ำเสมอ เมื่อใดก็ตามที่ความเร็วรอบของเครื่องยนต์เพิ่มขึ้นแต่ความเร็วของรถไม่เพิ่มขึ้นตาม ก็แสดงว่า มีการลื่นที่แผ่นคลัตช์สำหรับตัดต่อกำลังขับจากเครื่องยนต์มายังชุดเกียร์ทดรอบ อาการที่เกิดขึ้นดังกล่าวจะเป็นการแสดงว่า แผ่นคลัตช์หมดอายุการใช้งานแล้วต้องเปลี่ยนใหม่
มาตรวัดความเร็วรอบเครื่องยนต์
มาตรวัดความเร็วรอบเครื่องยนต์เป็นอุปกรณ์ที่มีความสำคัญต่อผู้ใช้รถค่อนข้างมาก เพราะจะทำให้ทราบว่า ในสภาวะใดเครื่องยนต์ควรทำงานที่ความเร็วรอบเท่าไร และมีความสัมพันธ์กับความเร็วของรถหรือไม่ ตัวอย่างเช่นขณะเครื่องยนต์เดินเบาที่อุณหภูมิต่ำ เครื่องปรับอากาศหยุทำงาน ความเร็วรอบเดินเบาสำหรับเครื่องยนต์ 4 สูบ จะสูงกว่า 800/ นาที บางครั้งอาจสูงมากกว่า 1500 รอบ/นาที ถ้าอุณหภูมิของเครื่องยนต์ต่ำมาก แต่หลังจากเครื่องยนต์มีอุณหภูมิสูงขึ้น ความเร็วรอบเดินเบาจะค่อยๆ ลดต่ำลงมา
และเมื่อเครื่องยนต์มีอุณหภูมิสูงถึงอุณหภูมิการทำงานปกติ ค่าความเร็วรอบเดินเบาจะลดลงมาอยู่ที่ประมาณ 750-850 รอบ/นาที หากเครื่องยนต์มีความเร็วรอบเดินเบาที่ต่ำหรือสูงกว่านี้ เช่นมีความเร็วรอบ 600-700 รอบ/นาที หรือสูงกว่า 850 รอบ/นาที ก็แสดงว่า เครื่องยนต์มีการทำงานผิดปกติ ต้องนำไปตรวจเช็กหาข้อขัดข้อง
อุณหภูมิการทำงานปกติของเครื่องยนต์ น้ำหล่อเย็นจะมีอุณหภูมิประมาณ 80-90 องศา เข็มวัดอุณหภูมิจะชี้ประมาณตรงกลางระหว่าตัว C และ ตัว H
มาตรวัดอุณหภูมิน้ำหล่อเย็นเครื่องยนต์
มาตรวัดอุณหภูมิน้ำหล่อเย็นเป็นมาตรวัดที่มีประโยชน์สำหรับผู้ใช้รถเป็นอย่างมาก สอนขับรถ ขอนแก่น GT แนะนำอย่างนี้ครับ เนื่องจากมาตรวัดอุณหภูมิน้ำหล่อเย็นจะบอกถึงอุณหภูมิของเครื่องยนต์ว่าเป็นอย่างไร หากเครื่องยนต์มีอุณหภูมิสูงเกินไปจะส่งผลให้ชิ้นส่วนต่างๆ เกิดการโก่งงอ หรือหลอมละลาย ทำให้เครื่องยนต์ชำรุดเสียหายมาก เช่น ลูกสูบติด ฝาสูบโก่ง เซ็นเซอร์ต่างๆ ของเครื่องยนต์ชำรุดเป็นต้น ซึ่งจะต้องเสียค่าใช้จ่ายในการบำรุงมาก
อีกเรื่องนึ่งที่ สอนขับรถ ขอนแก่น GT แนะนำคือ มาตรวัดอุณหภูมิน้ำหล่อเย็นที่ใช้ในรถยนต์ส่วนมากจะเป็นแบบเข็มวัด แต่มีรถยนต์บางรุ่นที่ใช้หลอดไฟแสดงอุณหภูมิสูงและต่ำ ตามปกติขณะที่เครื่องยนต์เย็น เข็มของมาตรวัดจะชี้ที่ตัว C และเมื่อเครื่องยนต์ทำงาน อุณหภูมิของน้ำหล่อเย็นจะสูงขึ้น เข็มวัดก็จะค่อยๆขยับขึ้นมาทางตัว H จนถึงประมาณ 80-90 องศา อุณหภูมิของน้ำหล่อเย็นจะถูกควบคุมไว้ไม่ให้สูงกว่านี้ ด้วยพัดลมระบายความร้อนที่หม้อน้ำ แต่ถ้ารถยนต์มีการวิ่งจะมีลมผ่านหม้อน้ำมากขึ้นส่งผลให้อุณหภูมิของน้ำหล่อเย็นลดต่ำลง ดังนั้นจะเป็นได้ว่า เมื่อเราขับรถออกไปนอกเมืองที่การจราจรไม่ติดขัด เข็มวัดอุณหภูมิจะชีไม่ถึงตรงกลางระหว่างตัว C และตัว H ซึ่งถือว่าเป็นปกติไม่มีปัญหาอะไร
สิ่งที่ สอนขับรถ ขอนแก่น GT แนะนำอีกอย่างคือ เมื่อใดก็ตามที่เข้มวัดชี้เข้าใกล้ตัว H ก็แสดงว่า เครื่องยนต์ร้นจัดซึ่งอาจเกิดจากสาเหตุของระบบระบายความร้อนขัดข้อง เช่น ท่อน้ำรัว ระดับน้ำในหม้อน้ำต่ำ มีตะกรันภายในหม้อน้ำ ปั๊มน้ำรั่ว พัดลมระบายความร้อนชำรุด หรือหมุนช้าลง เป็นต้น ผู้ขับรถจะต้องดับเครื่องยนต์ทันที มิฉะนั้นเครื่องยนต์อาจได้รับความเสียหายมาก
การแจ้งเปลี่ยนสีรถ
เรียนขับรถ ขอนแก่น
สิ่งที่ สอนขับรถ ขอนแก่น GT driving แนะนำคือ
หลักฐานที่ใช้
ใบคู่มือจดทะเบียนรถ (ถ้ามี)
สำเนาบัตรประชาชน ถ้ากรณีเป็นนิติบุคคลใช้หนังสือรับรองการจดทะเบียนนิติบุคคล และสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนของกรรมการผู้มีอำนาจลงนาม
ใบเสร็จรับเงินค่าทำสีรถ หรือหนังสือยืนยันการทำสีรถเอง
แบบคำขอแก้ไขเพิ่มเติมรายการในทะเบียนรถ (เปลี่ยนสีรถ) ซึ่งกรอกรายการ และลงลายมือชื่อผู้ยื่นคำขอเรียบร้อยแล้ว
หนังสือมอบอดำนาจพร้อมสำเนาบัตรประจะตัวประชาชนผู้รับมอบกรณีมิได้มาดำเนิการด้วยตนเอง
สถานที่ติดต่อ
สำนักงานขนส่งทุกแห่งทั่วประเทศ (ยกเว้น รถแท็กซี่ รถบริการ รถสี่ล้อเล็ก และรถสามล้อรับจ้าง ยื่นคำขอที่สำนักงานขนส่ง)
ขั้นตอนการดำเนินงาน
นำรถเข้ารับการตรวจสภาพ ที่งานตรวจสภาพรถยนต์
ยื่นเรื่องขอเปลี่ยนสีรถ พร้อมชำระค่าธรรมเนียมที่งานทะเบียนรถ
รับใบคู่มือจดทะเบียนรถคืน (ถ้ามี)
ระยะเวลาดำเนินการ
ไม่เกิน 2 ชั่วโมง
หมายเหตุ
การแข้งเปลี่ยนสีรถต้องแจ้งนายทะเบียนภายใน 7 วัน นับแต่วันทำสีเสร็จ (หากไม่ดำเนินการภายในกำหนดต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 2,000 บาท)
สอนขับรถ ขอนแ่ก่น GT Driving Khon Kaen
การแจ้งเปลี่ยนที่อยู่
ชื่อ นามสกุล หรือคำนำหน้านาม
หลักฐานที่ใช้
ใบคู่มือจดทะเบียนรถ (ถ้ามี)
สำเนาบัตรประชาชน ถากรณีเป็นนิติบุคคลใช้หนังสือรรับรองการจดทะเบียนนิติบุคคล และสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนของกรรมการผู้มีอำนาจลงนาม
หลักฐานการเปลี่ยนที่อยู่ ชื่อ นามสกุล คำนำหน้านาม หรือใบทะเบียนสมรถ
แบบคำขอแก้ไขเพิ่มเติมรายการในทะเบียนรถ (เปลี่ยนชื่อหรือชื่อสกุล เปลี่ยนที่อยู่เจ้าของรถ) ซึ่งกรอกรายการ และลงลายมือชื่อผู้ยื่นคำขอเรียบร้อยแล้ว
หนังสือมอบอำนาจพร้อมสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนผู้รับมอบกรณีมิได้มาดำเนินการด้วยตนเอง
สถานที่ติดต่อ
สำนักงานขนส่งพื้นที่ที่เจ้าของรถมีที่อยูปรากฎในใบคู่มือจดทะเบียนรถหรือที่ขอแจ้งใช้รถไว้
ขั้นตอนการดำเนินงาน
ยื่นเรื่องเปลี่ยนที่อยู่ ชื่อ นามสกุล คำนำหน้านาม พร้อมชำระค่าธรรมเนียมที่งานทะเบียนรถ
รับใบคู่มือจดทะเบียนรถคืน
ระยะเวลาดำเนินการไม่เกิน 2 ชั่วโมง 15 นาที
สอนขับรถ ขอนแ่ก่น GT Driving Khon Kaen
การแจ้งติดตั้ง โครงหลังคาหรือโครงเหล็กด้านข้างรถ
หลักฐานที่ใช้
-ใบคู่มือจดทะเบียนรถ (ถ้ามี)
-สำเนาบัตรประชาชน ถ้ากรณีเป็นนิติบุคคลใช้หนังสือรับรองการจดทะเบียนนิติบุคคล และสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนของกรรมการผู้มีอำนาจลงนาม
ใบเสร็จรับเงินค่าชิ้นส่วนอุปกรณ์โครงหลังคา หรือบันทึกถ้อยคำรับรองการได้มาของชิ้นส่วนอุปกรณ์นั้นๆ
แบบคำขอแก้ไขเพิ่มเติมรายการในทะเบียนรถ (ติดตั้งโครงหลังคา/โครงเหล็กดานข้างรถ) ซึ่งกรอกรายการ และลงลายมือชื่อผู้ยื่นคำขอเรียบร้อยแล้ว
หนังสือมอบอำนาจพร้อมสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนผู้รับมอบกรณีมิได้มาดำเนินการด้วยตัวเอง
สถานที่ติดต่อ
สำนักงานขนส่งทุกแห่งทั่วประเทศ
ขั้นตอนการดำเนินงาน
นำรถเข้ารับการตรวจสภาพ ที่งานตรวจสภาพรถยนต์
ยื่นเรื่องขอติดตั้งโครงหลังคา หรือโครงเหล็กด้านข้างรถ พร้อมชำระค่าธรรมเนียมที่งานทะเบียนรถ
รับใบคู่มือจดทะเบียนรถคืน (ถ้ามี)
ระยะเวลาดำเนินการ
ไม่เกิน 2 ชั่วโมง
สอนขับรถ ขอนแ่ก่น GT Driving Khon Kaen
การแจ้งเปลี่ยนประเภทรถ
หลักฐานที่ใช้
- ใบคู่มือจดทะเบียนรถ
- สำเนาบัตรประชาชน ถ้ากรณีเป็นนิติบุคคลใช้หนังสือรับรองการจดทะเบียนนิติบุคคล ...และสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนของกรรมการผู้มีอำนาจลงนาม
หลักฐานการแก้ไขดัดแปลงสภาพรถ เช่น ใบเสร็จรับเงิน
แบบคำขอจดทะเบียนรถ (เปลี่ยนประเภทรถ) ซึ่งกรอกรายการ และลงลายมือชื่อผู้ยื่นคำขอเรียบร้อยแล้ว
หนังสือมอบอำนาจพร้อมสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนผู้รับมอบกรณีมิได้มาดำเนินการด้วยตนเอง
สถานที่ติดต่อ
สำนักงานขนส่ง
ขั้นตอนการดำเนินงาน
นำรถเข้ารับการตรวจสภาพ ที่งานตรวจสภาพรถยนต์
ยื่นเรื่องขอเปลี่ยนประเภทร พร้อมชำระค่าธรรมเนียม ที่งานทะเบียนรถ
รับใบคู่มือจดทะเบียนรถ แผ่นป้ายทะเบียนรถ และเครื่องหมายแสดงการเสียภาษีรถประจำปี
ระยะเวลาดำเนินการ
ไม่เกิน 2 ชั่วโมง
สอนขับรถ ขอนแ่ก่น GT Driving Khon Kaen
การแจ้งไม่ใช้รถ
การแจ้งไม่ใช้รถมี 2 กรณี คือ
1. การแจ้งไม่ใช้รถชั่วคราว ไม่เกิน 2 ปี (สำหรับรถชำรุดแต่สามารถนำไปซ่อมแซมใช้งานได้)
2. การแจ้งไม่ใช้ตลอดไป (สำหรับรถหายหรือชำรุดจนไม่สามารถซ่อมแซมมาใช้งานได้อีก
หลักฐานที่ใช้
ใบคู่มือจดทะเบียนรถ
สำเนาบัตรประชาชน ถ้ากรณีเป็นนิติบุคคลใช้หนังสือรรับรองการจดทะเบียนนิติบุคคลและสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนของกรรมการผู้มีอำนาจลงนาม
แผ่นป้ายทะเบียนรถ
แบบคำขอแจ้งการไม่ใช้รถ ซึ่งกรอกรายการและลงลายมือชื่ผู้ยื่นคำขอเรียบร้อยแล้ว
หนังสือมอบอำนาจพร้อมสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนผู้รับมอบกรณีมิได้มาดำเนินการด้วยตนเอง
สถานที่ติดต่อ
สำนักงานขนส่ง หรือสำนักงานขนส่งพื้นที่เจ้าของรถมีที่อยู่ปรากฏในใบคู่มือจดทะเบียนรถ หรือที่ขอแจ้งใช้รถไว้
ขั้นตอนการดำเนินงาน
ยื่นเรื่องขอแจ้งไม่ใช้รถ พร้อมเอกสารและแผ่นป้ายทะเบียน
ชำระค่าธรรมเนียมที่งานทะเบียนรถ
รับใบคู่มือจดทะเบียนรถ แผ่นป้ายทะเบียนรถ และเครืาองหมายแสดงการเสียภาษีรถประจำปี
ระยะเวลาดำเนินการ
ไม่เกิน 3 ชั่วโมง
หมายเหตุ
การแจ้งไม่ใช้รถชั่วคราว เมื่อมาขอแจ้งใช้รถจะได้หมายเลขทะเบียนรถเดิม
การแจ้งไม่ใช้รถตลอดไป เมือ่มาขอแจ้งบใช้รถจะได้หมายเลขทะเบียนรถใหม่
สอนขับรถ ขอนแ่ก่น GT Driving Khon Kaen
การเสียภาษีประจำปี
การเสียภาษีประจำปี
หลักฐานที่ใช้
ใบคู่มือจดทะเบียนรถ (ถ้ามี)
หลักฐานการจัดให้มีประกันภัยตาม พ.ร.บ. คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ พ.ศ. 2535
ใบรับรองการตรวจสภาพรถ จากสถานตรวจสภาพรถเอกชน (ตรอ.) เฉพาะรถเก๋ง รถตู้ รถบรรทุก ที่จดทะเบียนครบ 7 ปีขึ้นไปและรถจักรยานยนต์ ที่จดทะเบียนครบ 5 ปีขึ้นไป
สถานที่ติดต่อ
สำนักงานขนส่งทุกแห่งทั่วประเทศ
ที่ทำการไปรษณีย์ทุกแห่งทั่วประเทศ
ผ่านระบบอินเทอร์เน็ตwww.dlte_serv.in.th หรือwww.dlt.go.th เคาน์เตอร์เซอร์วิส
ขั้นตอนการดำเนินการ
1. ชำระภาษีต่อนายทะเบียนโดยตรง
1.1 จุดบริการ One Stop Service "ด่วนจี๋ 3 นาทีได้"
1.1.2 จุดบริการเลื่อนล้อต่อภาษี Drive thru for tax "รวดเร็ว ไม่เสียเวลา ไม่ต้องลงจากรถ" (เปิดให้บริการบางแห่ง) เฉพาะรถเก๋ง (รย.1) รถตู้ (รย.2 รถบรรทุก (รย.3) และรถจักรยานยนต์ (รย.12)
1.2 ที่ห้างคาร์ฟูร์
1.2.1 จุดบริการ ช็อปให้พอ แล้วต่อภาษี Shop thru for tax "สะดวก สบาย ไมายุ่งยาก" เปิดให้บริการเฉพาะสาขาลาดพร้าว รามอินทรา รัชดาภิเษกบางประกอก เพชรเกษม สุขาภิบาล 3 แจ้งวัฉนะ สำโรง และอ่อนนุช) เฉพาะรถเก๋ง (รย.1) รถตู้ (รย.2) รถบรรทุก (รย.3) และรถจักรยานยนต์ (รย.12)
1.2.2 เปิดให้บริการเฉพาะวันเสาร์ - อาทิตย์ ตั้งแต่เวลา 10.00 - 18.00 น.
2. ชำระภาษีทางไปรษณีย์
ยื่นความประสงค์ชำระภาษีรถได้ที่ที่ทำการไปรษณีย์ทุกแห่ง ทั่วประเทศ ไม่ว่าจะจดทะเบียนที่จังหวัดใด เปิดให้บริการเฉพาะรถเก๋ง (รย.1) รถตู้ (รย.2) รถบรรทุก (รย.3) และรถจักรยานยนต์ (รย.12) ที่ไม่มีภาษีค้างชำระ หรือมีภาษีค้างชำระไม่เกิน 1 ปี
3. ชำระภาษีผ่านระบบอินเทอร์เน็ต "ทุกที่ ทั่วไทย ทันใจ ทุกเวลา"
เปิดให้บริการเฉพาะรถเก๋ง (รย.1) รถตู้ (รย.2) รถปิกอัพ (รย.3) และรถจักรยานยนต์ (รย.12) ที่ไม่มีภาษีค้างชำระ ซึ่งผู้ชำระภาษีต้องลงทะบียนเข้าใช้บริการทาง www.dlt.go.th หรือ www.dlte_serv.in.th เพื่อขอรับ User name และ Password และต้องมีบัญชีเงิยฝากกับธนาคารที่เข้าร่วมโครงการ พร้อมทั้งยินยอมให้ธนาคารหักบัญชีเงินฝาก โดยมีธนาคารที่เข้าร่วมโครงการด้งนี้
ให้บริการรับชำระเงินโดยหักบัญชีเงินฝาก และผ่านเคาน์เตอร์บริการ
ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) และ
ธนาคารนครหลวงไทย จำกัด (มหาชน)
สอนขับรถ ขอนแ่ก่น GT
การเตรียมความพร้อม
- สิ่งสำคัญที่สุด ที่ สอนขับรถ ขอนแก่น GT แนะนำ เพื่อที่จะสร้างความมั่นใจ และเพิ่มความปลอดภัยให้กับผู้ขับรถ ...ได้เป็นอย่างดีไม่ว่าจะเกิดสถานการณ์ใดก็ตาม ...คือการเตรียมความพร้อมของผู้ขับรถ ...และสภาพรถให้พร้อม
โดยผู้ขับรถควรจะตรวจสอบสภาพรถทั้งสัญญาณไฟ พวงมาลัย ...ระบบบังคับเลี้ยว ...และระบบเบรก ...ต้องใช้งานดีดีหากเกิดภาวะฉุกเฉินขึ้น ยางรถยนต์ควรจะมีดอกยางเพิ่มให้สามารถยึดเกาะถนนได้อย่างปลอดภัย
ขั้นต่อไปที่ สอนขับรถ ขอนแก่น GT แนะนำคือ ตรวจสอบระดับน้ำกลั่นในแบตเตอรี่ หม้อน้ำ น้ำล้างกระจก ที่ปัดน้ำฝน น้ำมันเครื่อง ระบบแตร และควรจัดเตรียมอุปกรณ์สำหรับใช้ในกรณีฉุกเฉินเช่น แม่แรง สายไฟสำหรับพ่วงแบตเตอรี่ และเชือกสลิงลากรถติดไปด้วย ....หากพบว่ามีส่วนใดชำรุดควรรีบซ่อมแซม แก้ไขทันที
และผู้ขับขี่ควรจะเตรียมร่างกายให้พร้อมก่อนขับรถควรนอนพักผ่อนให้เพียงพอ ...อ้อ เรื่องสำคัญที่ สอนขับรถ ขอนแก่น GT พึงให้ผู้ขับขี่ควรปฏิบัติตามเป็นอย่างยิ่ง คือไม่ทานยาที่ทำให้ง่วงนอน ...ไม่ดื่มแอลกอฮอล์อย่างเด็ดขาด ...รวมทั้งควรต้องเรียนรู้ถึงวีการขับรถอย่างปลอดภัยในสถานการณ์ต่างๆ ไว้ด้วย
- จากผลสำรวจพบว่าร้อยละ 28 ของผู้ขับรถ อาชีพ ...ยอมรับว่าเคยง่วงถึงขั้นหลับใน ร้อยละ 55 จะง่วงหลังจากขับรถนานกว่า 4 ชั่วโมง โดย 1 ใน 3 ของอุบัติเหตุเกิดจากความง่วงเนื่องจากอดนอนหรือนอนไม่พอสูงมากถึง ร้อยละ 90 ซึ่งแพทย์ได้ให้คำแนะนำว่า
หากรู้ตัวว่าง่วงจัดขณะขับรถ ให้รีบจอดในที่ปลอดภัย ดื่มกาแฟ ...หรือเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน แล้วงีบหลับ 15-30 นาที คาเฟอีนที่ดื่มจะยัง ...ครั้นตื่นขึ้นมาจะรู้สึกสดชื่น และสามรถขับรถต่อไปได้โดยไม่ง่วง
- จากสถิติขององค์การอนามัยโลก พบว่าการบาดเจ็บท้องถนนมีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ...พบว่าการบาดเจ็บบนท้องถนนมีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ...ตั้งแต่ปี 2541 และคาดว่าอุบัติเหตุบนท้องถนนจะเป็นสาเหตุการตายอันดับ 3 ของโลกภายในปี 2563 โดยจะมีผู้เสียชีวิตมากถึงปีละ 1 ล้าน 2 แสนคน ในประเทศไทยอุบัติเหตุบนท้องถนนถือเป็นสาเหตุการตายอันดับ 2 จากการขับรถด้วยความเร็วเกินอัตราที่กำหนด การขับรถ
- โดยประมาท การกับรถตัดหน้าระยะกระชั้นชิด สิ่งที่นักขับรถทุกคนต้องคำนึงเพื่อความปลอดภัย คือท่านั่งขับรถที่ถูกต้อง ...การตรวจเช็ดกระจกสัญญาณไฟ แผงหน้าปัด การคาดเข็มขัดนิรภัย การตรวจสอบระบบเบรก จับพวงมาลัยที่ตำแหน่ง 3 และ 9 นาฬิกา หรือ 10 และ 14 นาฬิกา เวลาขับควรสังเกตสภาพการจราจรตลอดเวลา และไม่ควรทำกิจกรรมอื่นๆ
รักษาระยะห่างระหว่างรถคันหน้า มองกระจกบ่อยๆ เพื่อเลี่ยงพื้นที่บอดของรถ และปฏิบัติตามป้ายจราจรอย่างเคร่งครัด …ด้วยความปรารถนาดี จาก สอนขับรถ ขอนแก่น GT Driving
โดยผู้ขับรถควรจะตรวจสอบสภาพรถทั้งสัญญาณไฟ พวงมาลัย ...ระบบบังคับเลี้ยว ...และระบบเบรก ...ต้องใช้งานดีดีหากเกิดภาวะฉุกเฉินขึ้น ยางรถยนต์ควรจะมีดอกยางเพิ่มให้สามารถยึดเกาะถนนได้อย่างปลอดภัย
ขั้นต่อไปที่ สอนขับรถ ขอนแก่น GT แนะนำคือ ตรวจสอบระดับน้ำกลั่นในแบตเตอรี่ หม้อน้ำ น้ำล้างกระจก ที่ปัดน้ำฝน น้ำมันเครื่อง ระบบแตร และควรจัดเตรียมอุปกรณ์สำหรับใช้ในกรณีฉุกเฉินเช่น แม่แรง สายไฟสำหรับพ่วงแบตเตอรี่ และเชือกสลิงลากรถติดไปด้วย ....หากพบว่ามีส่วนใดชำรุดควรรีบซ่อมแซม แก้ไขทันที
และผู้ขับขี่ควรจะเตรียมร่างกายให้พร้อมก่อนขับรถควรนอนพักผ่อนให้เพียงพอ ...อ้อ เรื่องสำคัญที่ สอนขับรถ ขอนแก่น GT พึงให้ผู้ขับขี่ควรปฏิบัติตามเป็นอย่างยิ่ง คือไม่ทานยาที่ทำให้ง่วงนอน ...ไม่ดื่มแอลกอฮอล์อย่างเด็ดขาด ...รวมทั้งควรต้องเรียนรู้ถึงวีการขับรถอย่างปลอดภัยในสถานการณ์ต่างๆ ไว้ด้วย
- จากผลสำรวจพบว่าร้อยละ 28 ของผู้ขับรถ อาชีพ ...ยอมรับว่าเคยง่วงถึงขั้นหลับใน ร้อยละ 55 จะง่วงหลังจากขับรถนานกว่า 4 ชั่วโมง โดย 1 ใน 3 ของอุบัติเหตุเกิดจากความง่วงเนื่องจากอดนอนหรือนอนไม่พอสูงมากถึง ร้อยละ 90 ซึ่งแพทย์ได้ให้คำแนะนำว่า
หากรู้ตัวว่าง่วงจัดขณะขับรถ ให้รีบจอดในที่ปลอดภัย ดื่มกาแฟ ...หรือเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน แล้วงีบหลับ 15-30 นาที คาเฟอีนที่ดื่มจะยัง ...ครั้นตื่นขึ้นมาจะรู้สึกสดชื่น และสามรถขับรถต่อไปได้โดยไม่ง่วง
- จากสถิติขององค์การอนามัยโลก พบว่าการบาดเจ็บท้องถนนมีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ...พบว่าการบาดเจ็บบนท้องถนนมีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ...ตั้งแต่ปี 2541 และคาดว่าอุบัติเหตุบนท้องถนนจะเป็นสาเหตุการตายอันดับ 3 ของโลกภายในปี 2563 โดยจะมีผู้เสียชีวิตมากถึงปีละ 1 ล้าน 2 แสนคน ในประเทศไทยอุบัติเหตุบนท้องถนนถือเป็นสาเหตุการตายอันดับ 2 จากการขับรถด้วยความเร็วเกินอัตราที่กำหนด การขับรถ
- โดยประมาท การกับรถตัดหน้าระยะกระชั้นชิด สิ่งที่นักขับรถทุกคนต้องคำนึงเพื่อความปลอดภัย คือท่านั่งขับรถที่ถูกต้อง ...การตรวจเช็ดกระจกสัญญาณไฟ แผงหน้าปัด การคาดเข็มขัดนิรภัย การตรวจสอบระบบเบรก จับพวงมาลัยที่ตำแหน่ง 3 และ 9 นาฬิกา หรือ 10 และ 14 นาฬิกา เวลาขับควรสังเกตสภาพการจราจรตลอดเวลา และไม่ควรทำกิจกรรมอื่นๆ
รักษาระยะห่างระหว่างรถคันหน้า มองกระจกบ่อยๆ เพื่อเลี่ยงพื้นที่บอดของรถ และปฏิบัติตามป้ายจราจรอย่างเคร่งครัด …ด้วยความปรารถนาดี จาก สอนขับรถ ขอนแก่น GT Driving
การเดินทางด้วยรถยนต์
ขณะเดินทาง สอนขับรถ ขอนแก่น GT แนะนำให้ปฏิบัติดังนี้
1. อย่าแซงรถในที่คับขัน, บนสะพาน, ทางโค้ง, ทางแยก, ทางร่วม หรือ ณ จุดที่มีเส้นขาวทึบ หรือเหลืองทึบ
2. อย่าข้บรถตามหลังคันอื่นในระยะทางกระชั้นชิด
3. อย่าขับรถแข่งกันด้วยความคึกคะนอง
4. อย่าขับรถเร็วเกินอัตรากำหนด
5. การใช้สัญญาณก่อนจะหยุดรถ, เลี้ยวรถ, ขอทางแซง เป็นสิ่งจำเป็น เพื่อรถอื่นจะได้ทราบ
6. รถที่ขับช้าหรือรถที่ใช้ความเร็วต่ำกว่าความเร็วของรถอื่นที่ขับไปในทิศทางเดียวกัน ...ควรขับรถให้ใกล้ขอบทางเดินรถด้านซ้ายเท่าที่จะทำได้
7. ทางเดินรถที่มีแบ่งช่องเดินรถไปทางเดียวกันเกินกว่า 1 ช่องให้เดินรถในช่องที่ 1 ชิดขอบทางซ้ายมือ เว้นไว้แต่ว่าจะแซงขึ้นหน้า ...หรือเลี้ยวขวารถอื่นเมื่อแซงพ้นแล้วให้กลับเข้าช่องที่ 1 ชิดขอบทางซ้ายมือ
8. ขับรถสวนกันให้ใช้ไฟต่ำ
9. การขับรถผ่านทางแคบระหว่างภูเขา ...หรือระหว่างเนิน หรือการขับรถในทางเดินรถบนภูเขา หรือบนเนิน ควรขับให้ชิดขอบทางด้านซ้าย และเมื่อถึงทางโค้งควรให้เสียงสัญญาณ เพื่อเตือนรถอื่นที่จะสวนมา
10. ในการขับรถบนทางหลวง สอนขับรถ ขอนแก่น GT แนะนำให้ท่านสังเกตและปฏิบัติตามป้ายสัญญาณจราจรที่อยู่สองข้างทาง และเส้นแบ่งการจราจรบนถนน
สอนขับรถ ขอนแก่น GT Driving
เรื่องนี้ สอนขับรถ ขอนแก่น GT จะพูดเรื่อง พื้นฐานเกี่ยวกับรถยนต์
ในปัจจุบัน รถยนต์ได้กลายเป็นปัจจัยที่ 5 สำหรับมนุษย์ไปเสียแล้ว เนื่องจากรถยนต์เป็นสิ่งที่ช่วยอำนวยความสะดวกสบายในการขนส่ง ทั้งขนส่งผู้คน สินค้า ตลอดจนผลผลิตต่าง ๆ ทางการเกษตร รวมไปถึงภาคอุตสาหกรรม ซึ่ง สอนขับรถ ขอนแก่น GT ถือได้ว่าหากขาดรถยนต์ก็จะทำให้ชีวิตมนุษย์ขาดสภาพคล่อง และไม่สุขสบาย
นอกจากนี้ สอนขับรถ ขอนแก่น GT ยังเห็นว่ารถยนต์ยังได้ถูกดัดแปลงเพื่อประโยชน์ใช้สอยในด้านต่าง ๆ เช่น รถห้องน้ำ รถสาธารณะเคลื่อนที่ รถพยาบาลเคลื่อนที่ รถดัดแปลงเป็นร้านค้าและร้านอาหาร รถขายผัก ผลไม้ อาหารสด อาหารแห้ง เครื่องดื่ม ฯลฯ จึงนับได้ว่า รถยนต์มีความสำคัญต่อคนไทยในทุกสาขาอาชีพเป็นอย่างมาก และมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ในภายภาคหน้า
1. ประเภทของเครื่องยนต์
เราสามารถแบ่งประเภทของรถยนต์ได้จากรูปร่างและลักษณะของรถ วัตถุประสงค์การใช้งานและตัวเครื่องยนต์ ซึ่งมีทั้งเครื่องยนต์เบนซินและเครื่องยนต์ดีเซล
1.1 เครื่องยนต์เบนซิน
จัดอยู่ในประเภทเครื่องยนต์ใช้น้ำมันเบาหรือน้ำมันเบนซินเป็นเชื้อเพลิง เป็นเครื่องยนต์ที่มีกำลังต่ำกว่าเครื่องยนต์ดีเซล
1.2 เครื่องยนต์ดีเซล
จัดอยู่ในประเภทเครื่องยนต์ใช้น้ำมันหนักหรือน้ำมันโซล่าเป็นเชื้อเพลิง เป็นเครื่องยนต์ที่มีกำลังสูงกว่าเครื่องยนต์ชนิดอื่น ๆ
2. ประเภทของรถยนต์
การแบ่งประเภทรถยนต์ตามลักษณะการใช้งาน
ลักษณะการใช้งานของรถยนต์นั้น จะแตกต่างกันออกไปในแต่ละรูปแบบของรถที่ได้ออกแบบมา ซึ่งขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์การใช้งานและความสวยงามเป็นหลัก ซึ่งพอจะจำแนกได้ดังต่อไปนี้
รถยนต์ 4 ประตู
เป็นลักษณะของรถยนต์ทั่ว ๆ ไป ที่วิ่งอยู่บนท้องถนน มี 4 ประตู มีที่นั่ง 2 ตอน
รถยนต์คูเป้
เป็นรถยนต์ 2 ประตูหลังคาลาดลงท้ายรถ เป็นรถขนาดเล็ก รูปร่างเพรียว ใช้เครื่องยนต์ที่มีกำลังสูง มีอัตราเร่งและความเร็วสูง
รถยนต์สปอร์ตเปิดประทุน
เป็นรถยนต์ 2 ประตู มีที่นั่งตอนเดียว เครื่องยนต์มีกำลังแรง รูปทรงสวยงาม ทันสมัยและโฉบเฉี่ยว
รถจี๊ป
เป็นรถที่มีลักษณะคล้ายรถตู้ ตัวถังสูง ใช้งานสมบุกสมบัน เนื่องจากมีเกียร์พิเศษ สามารถขับเคลื่อนได้ 4 ล้อ เป็นที่นิยมใช้ในการขับลุยป่าเขา
รถตู้
เป็นรถที่จัดอยู่ในประเภทรถโดยสารขนาดเล็ก สามารถจุผู้คนได้มาก ปัจจุบันนิยมใช้เป็นรถบริการรับส่งผู้โดยสารในกรุงเทพฯ
รถกระบะ 4 ล้อ
เป็นรถส่วนที่เป็นเก๋งหน้าจะเป็นที่นั่งของคนขับ ส่วนที่ต่อจากเก๋งจะเป็นกระบะสำหรับบรรทุกสัมภาระสิ่งของรถบรรทุก 6 ล้อ และ 10 ล้อ
เป็นรถที่ใช้ในการบรรทุกของหนัก สามารถบรรทุกได้คราวละมาก ๆรถโดยสาร คือ รถเมล์นั่นเอง มีห้องโดยสารกว้าง สูงและยาว ใช้เป็นรถรับส่งผู้โดยสารคราวละหลาย ๆ คน
นอกจากนี้ สอนขับรถ ขอนแก่น GT เห็นว่ายังมีรถอีกหลายรูปแบบ ซึ่งออกแบบมาเพื่อให้เหมาะสมกับการใช้งาน เช่น รถเครน รถบรรทุกน้ำมัน รถ F1 รถโดยสาร 2 ชั้น เป็นต้น จึงถือได้ว่ารถยนต์มีคุณอนันต์ต่อมนุษย์เป็นอย่างมาก แต่ถึงอย่างไรก็ตามก็แฝงด้วยโทษมหันต์ คือ สร้างมลภาวะเป็นพิษก่อให้เกิดอากาศเสีย อันเป็นผลสืบเนื่องมาจากก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่รถปล่อยออกมา และอีกกรณีก็คือ
การสูญเสียชีวิตจากการขับรถด้วยความประมาท ซึ่งแต่ละปีจะมีผู้บาดเจ็บล้มตายจากอุบัติเหตุเป็นจำนวนมากได้มีการทำการวิจัยถึงสาเหตุของการเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนน สามารถแบ่งออกได้เป็น 4 ปัจจัย คือ ผู้ขับ รถยนต์ ถนน และสภาพแวดล้อม จะเห็นได้ว่า
ผู้ขับและรถยนต์เป็นสาเหตุหลักของการเกิดอุบัติเหตุ ดังนั้นผู้ขับจะต้องมีความรู้ในเรื่องกฎจราจรและมีความรู้ในเรื่องเครื่องยนต์ เพื่อจะได้มีการดูแลและตรวจสภาพรถยนต์ให้พร้อมที่จะใช้งานอยู่เสมอ จึงจำเป็นต้องมีการสอนถึงวิธีการขับและการบำรุงรักษารถยนต์ที่ถูกต้อง
สอนขับรถ ขอนแก่น GT
ในปัจจุบัน รถยนต์ได้กลายเป็นปัจจัยที่ 5 สำหรับมนุษย์ไปเสียแล้ว เนื่องจากรถยนต์เป็นสิ่งที่ช่วยอำนวยความสะดวกสบายในการขนส่ง ทั้งขนส่งผู้คน สินค้า ตลอดจนผลผลิตต่าง ๆ ทางการเกษตร รวมไปถึงภาคอุตสาหกรรม ซึ่ง สอนขับรถ ขอนแก่น GT ถือได้ว่าหากขาดรถยนต์ก็จะทำให้ชีวิตมนุษย์ขาดสภาพคล่อง และไม่สุขสบาย
นอกจากนี้ สอนขับรถ ขอนแก่น GT ยังเห็นว่ารถยนต์ยังได้ถูกดัดแปลงเพื่อประโยชน์ใช้สอยในด้านต่าง ๆ เช่น รถห้องน้ำ รถสาธารณะเคลื่อนที่ รถพยาบาลเคลื่อนที่ รถดัดแปลงเป็นร้านค้าและร้านอาหาร รถขายผัก ผลไม้ อาหารสด อาหารแห้ง เครื่องดื่ม ฯลฯ จึงนับได้ว่า รถยนต์มีความสำคัญต่อคนไทยในทุกสาขาอาชีพเป็นอย่างมาก และมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ในภายภาคหน้า
1. ประเภทของเครื่องยนต์
เราสามารถแบ่งประเภทของรถยนต์ได้จากรูปร่างและลักษณะของรถ วัตถุประสงค์การใช้งานและตัวเครื่องยนต์ ซึ่งมีทั้งเครื่องยนต์เบนซินและเครื่องยนต์ดีเซล
1.1 เครื่องยนต์เบนซิน
จัดอยู่ในประเภทเครื่องยนต์ใช้น้ำมันเบาหรือน้ำมันเบนซินเป็นเชื้อเพลิง เป็นเครื่องยนต์ที่มีกำลังต่ำกว่าเครื่องยนต์ดีเซล
1.2 เครื่องยนต์ดีเซล
จัดอยู่ในประเภทเครื่องยนต์ใช้น้ำมันหนักหรือน้ำมันโซล่าเป็นเชื้อเพลิง เป็นเครื่องยนต์ที่มีกำลังสูงกว่าเครื่องยนต์ชนิดอื่น ๆ
2. ประเภทของรถยนต์
การแบ่งประเภทรถยนต์ตามลักษณะการใช้งาน
ลักษณะการใช้งานของรถยนต์นั้น จะแตกต่างกันออกไปในแต่ละรูปแบบของรถที่ได้ออกแบบมา ซึ่งขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์การใช้งานและความสวยงามเป็นหลัก ซึ่งพอจะจำแนกได้ดังต่อไปนี้
รถยนต์ 4 ประตู
เป็นลักษณะของรถยนต์ทั่ว ๆ ไป ที่วิ่งอยู่บนท้องถนน มี 4 ประตู มีที่นั่ง 2 ตอน
รถยนต์คูเป้
เป็นรถยนต์ 2 ประตูหลังคาลาดลงท้ายรถ เป็นรถขนาดเล็ก รูปร่างเพรียว ใช้เครื่องยนต์ที่มีกำลังสูง มีอัตราเร่งและความเร็วสูง
รถยนต์สปอร์ตเปิดประทุน
เป็นรถยนต์ 2 ประตู มีที่นั่งตอนเดียว เครื่องยนต์มีกำลังแรง รูปทรงสวยงาม ทันสมัยและโฉบเฉี่ยว
รถจี๊ป
เป็นรถที่มีลักษณะคล้ายรถตู้ ตัวถังสูง ใช้งานสมบุกสมบัน เนื่องจากมีเกียร์พิเศษ สามารถขับเคลื่อนได้ 4 ล้อ เป็นที่นิยมใช้ในการขับลุยป่าเขา
รถตู้
เป็นรถที่จัดอยู่ในประเภทรถโดยสารขนาดเล็ก สามารถจุผู้คนได้มาก ปัจจุบันนิยมใช้เป็นรถบริการรับส่งผู้โดยสารในกรุงเทพฯ
รถกระบะ 4 ล้อ
เป็นรถส่วนที่เป็นเก๋งหน้าจะเป็นที่นั่งของคนขับ ส่วนที่ต่อจากเก๋งจะเป็นกระบะสำหรับบรรทุกสัมภาระสิ่งของรถบรรทุก 6 ล้อ และ 10 ล้อ
เป็นรถที่ใช้ในการบรรทุกของหนัก สามารถบรรทุกได้คราวละมาก ๆรถโดยสาร คือ รถเมล์นั่นเอง มีห้องโดยสารกว้าง สูงและยาว ใช้เป็นรถรับส่งผู้โดยสารคราวละหลาย ๆ คน
นอกจากนี้ สอนขับรถ ขอนแก่น GT เห็นว่ายังมีรถอีกหลายรูปแบบ ซึ่งออกแบบมาเพื่อให้เหมาะสมกับการใช้งาน เช่น รถเครน รถบรรทุกน้ำมัน รถ F1 รถโดยสาร 2 ชั้น เป็นต้น จึงถือได้ว่ารถยนต์มีคุณอนันต์ต่อมนุษย์เป็นอย่างมาก แต่ถึงอย่างไรก็ตามก็แฝงด้วยโทษมหันต์ คือ สร้างมลภาวะเป็นพิษก่อให้เกิดอากาศเสีย อันเป็นผลสืบเนื่องมาจากก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่รถปล่อยออกมา และอีกกรณีก็คือ
การสูญเสียชีวิตจากการขับรถด้วยความประมาท ซึ่งแต่ละปีจะมีผู้บาดเจ็บล้มตายจากอุบัติเหตุเป็นจำนวนมากได้มีการทำการวิจัยถึงสาเหตุของการเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนน สามารถแบ่งออกได้เป็น 4 ปัจจัย คือ ผู้ขับ รถยนต์ ถนน และสภาพแวดล้อม จะเห็นได้ว่า
ผู้ขับและรถยนต์เป็นสาเหตุหลักของการเกิดอุบัติเหตุ ดังนั้นผู้ขับจะต้องมีความรู้ในเรื่องกฎจราจรและมีความรู้ในเรื่องเครื่องยนต์ เพื่อจะได้มีการดูแลและตรวจสภาพรถยนต์ให้พร้อมที่จะใช้งานอยู่เสมอ จึงจำเป็นต้องมีการสอนถึงวิธีการขับและการบำรุงรักษารถยนต์ที่ถูกต้อง
สอนขับรถ ขอนแก่น GT